วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

03 เรื่องของเทพเจ้ากวนอู


กวนอู เป็นชื่อบุคคลที่ปรากฏในวรรณคดี สามก๊ก ผู้ซึ่งได้รับสมญานามว่า
เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ เป็นพี่น้องร่วมสาบานของเล่าปีและเตียวหุย
มีเหตุการณ์ตอนหนึ่งที่น่าสนใจ

ตอนที่กวนอูถูกกลอุบายยึดเมืองเกงจิ๋ว และทหารของซุนกวนล้อมจับได้
ในวรรณคดีเรื่องสามก๊กนั้น ความดีของกวนอูในเรื่องความซื่อสัตย์
ทำให้ซุนกวนร้องขอให้ทำราชการอยู่ด้วยกัน จะเลี้ยงดูอย่างดี

กวนอูฟังแล้วโกรธ ด่าว่า "อ้ายเด็กน้อย ตัวกูหายอมเป็นบ่าวมึงไม่" พร้อม
ให้เหตุผลว่า "กูเป็นชาติทหารจะกินข้าวแดงเป็นสองเจ้านั้นหามิได้จะสู้ตาย"

หลังจากซุนกวนปรึกษาหารือกับทหารแล้ว ลงความเห็นตรงกันให้ตัดศีรษะ
เมื่อกวนอูถูกตัดศีรษะแล้วไปเกิดเป็นอสุรกายอยู่ในภูเขาจวนหยกสัน
แดนเมืองตองเอี๋ยง

กลางคืนวันหนึ่งเดือนหงาย หลวงจีนเภาเจ๋งนั่งภาวนาอยู่ในกุฏิ ได้ยินเสียง
ร้องว่า เอาศีรษะมาคืนให้เรา จึงมองออกไป แลเห็นกวนอุูนั่งบนหลังม้าอยูู่
ริมกุฏิ ด้วยรู้จักมาก่อน จึงกวักมือเรียก กวนอูลงจากหลังม้ามาคำนับแล้วว่า

สำนวนในสามก๊กว่าไว้ดังนี้

"ท่านจงสวดมนต์ภาวนาแผ่กุศลแลส่วนบุญให้ข้าพเจ้าบ้างเถิด ข้าพเจ้า
แพ้ข้าศึกถึงแก่ความตาย หลวงจีนเภาเจ๋งจึงว่า กงเกวียนกำเกวียน ตัวฆ่า
เขาๆ ฆ่าตัว เมื่อท่านฆ่างันเหลียงบุนทิวแลนายด่านห้าตำบลเสีย ใครมา
ทวงศีรษะแก่ท่านบ้าง ครั้งนี้ท่านเสียทีแก่ข้าศึกถึงแก่ความตายแล้ว
ท่านมาร้องทวงศีรษะแก่ใครเล่า"

หลังจากนั้นหลวงจีนเภาเจ๋งสวดมนต์แผ่ส่วนบุญให้ อสุรกายกวนอูรับส่วนบุญ
แล้วก็ลาไปอาศัยอยู่ในยอดเขาจวนหยกสัน คนทั้งปวงได้ทราบข่าวจาก
หลวงจีนเภาเจ๋งแล้ว จึงปลูกศาลให้กวนอูอยูู่

และกลายเป็นสถานที่เทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์แต่นั้นมา

ชนะ เวชกุล

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

02: กรรมลิขิตมิใช่พรหมลิขิต


จะเป็นเพราะเพลงสองเพลงที่มีเนื้อร้อง

พรหมลิขิตขีดเส้นเกณฑ์ชะตา...
และ
พรหมลิขิตชักพาดลให้มาพบกันทันใด...

ก็ไม่ทราบได้ จึงทำให้ผู้ฟังมีความรู้สึกและเข้าใจว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา เนื่องมาจากพระพรหม

ผมใช้หลักธรรมแห่งความเชื่อ ชื่อ "กาลามสูตร"
คือ ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงสรรพสิ่ง
อย่าเชื่ออย่างงมงาย ซึ่งมีทั้งหมดสิบประการ
ผมหยิบมาเพียงหัวข้อเดียวเพื่อพิจารณา
"อย่าเพิ่งเชื่อตามถ้อยคำที่ฟังๆ กันมา"

แล้วสืบหาความจริง จึงได้ความรู้จากการอ่านพระไตรปิฏก
กระจ่างใจ สิ้นสงสัย
พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบมานานแล้ว ตรัสไว้ว่า...

"การที่เรามาเกิดเป็นคน หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้
เพราะเหตุมี กิเลส ตัณหา อุปาทาน มานะ ทิฏฐิ ชักนำ
หรือขีดเส้นเกณฑ์ชะตาชีวิตเรา"

พูดให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ ความอยากจะมาเกิดนั่นเอง
หรือถ้าพูดตามหลักกฎแห่งกรรม ก็คือ กรรมนั่นเองทำให้ต้องมาเกิด

และเมื่อได้เกิดแล้ว ก็ต้องพบกับความแก่ ความเจ็บ และความตาย
ได้ทุกข์ได้สุขสลับกันไปตลอดชีวิต

แต่ถ้าคนนั้นเกิดมาแล้วทำแต่กรรมดี
สามารถตัดกิเลส ตัณหา อุปาทาน มานะ ทิฏฐิ ออกได้หมด
ด้วยแรงปรารถนาให้จิตวิญญาณมีแต่ความบริสุทธิ์
เช่นนี้แล้ว จิตวิญญาณนั้นก็จะอยู่ในลักษณะสภาพของ นิพพาน

คือหลุดพ้นไปจากสังสารวัฏ ไม่มีอะไรเหลือเป็นเชื้อชักนำ
ต้องให้มาเกิดรับทุกข์อีกต่อไป

ฉะนั้น เมื่อใดที่จิตวิญญาณมีสภาพเป็นนิพพาน
ก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง

ชนะ เวชกุล
30/07/53

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จดหมายถึงเพื่อน


เราเลี้ยงหมาพันธุ์โกลเด็นรีทรีฟเวอร์ไว้เป็นเพื่อนเล่นเพื่อนคุยหนึ่งตัว ชื่อน้ำตาล
ตอนนี้อายุได้ 5 ปี ถ้านับเทียบอายุคนก็ 35 ปี

วันหนึ่งเราพาน้ำตาลไปคลินิกสัตวแพทย์ เพื่อฉีดวัคซีนประจำปี ขณะเบนหัวรถออก
จากหน้าร้านเพื่อกลับบ้าน เราได้ยินเสียงหัวเราะแว่วๆ พร้อมกับเสียงพูดดังพอได้ยิน

หมามันมีบุญกว่ากูอีก มีรถเก๋งนั่งสบาย

เราเหลือบมองที่กระจกมองหลัง เห็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งอายุประมาณ 15-16 ปี
กำลังเดินตามหลังรถมา

เราอยากจะบอกเด็กๆ กลุ่มนี้

ใช่...หมามันมีบุญ แต่คนเลี้ยงมีกรรม

ก็อยู่ดีไม่ว่าดี เราหาห่วงมาผูกคอตัวเอง แทนที่จะได้อยู่อย่างสุขสบายตามประสา
คนสูงอายุ ก็ต้องมานั่งวิตกกังวล ดูแลเรื่องอาหาร เรื่องขี้ เรื่องเยี่ยว เรื่องเจ็บป่วย
นี่ก็ต้องพามาหาหมอให้ช่วยรักษา

ความคิดเราฟุ้งซ่านไป นึกถึงน้ำตาล เขาคงทำบุญมามากกว่าเรา แต่ไม่รู้ว่าไปหลง
ทำอะไรผิดจึงต้องมาเกิดเป็นหมา และเป็นหมามีบุญอย่างเด็กมันพูด

เราเสียอีกที่ได้เกิดมาเป็นคน มาเป็นบ่าวรับใช้หมา ต้องเป็นสารถีขับรถให้หมานั่ง
ดูวางท่าเป็นเจ้านายอยู่บนเบาะหลังรถเก๋ง

ชาติก่อน เราคงเคยทำกรรมไม่ดีไว้สักอย่าง จึงส่งผลให้มาทำหน้าที่สารถีให้น้ำตาล
นึกถึงคำพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่า "มีกรรมเป็นกำเนิด" น้ำตาลก็คงเป็นเช่นเดียวกัน

วันนี้ของเราจึงเป็นผลมาจากได้ทำเหตุไว้
จากชาติก่อน หรือวันก่อนๆ อย่างมิต้องสงสัย