เกิดมาแล้วต้องตาย ท่านเคยได้ยินประโยคนี้บ้างไหม?
พระท่านว่า...ตายแล้วต้องเกิดอีก ตามทฤษฎีการเวียนว่ายตายเกิด
โยมรู้ตัวเองหรือไม่ ตายแล้วได้ไปเกิดในแดนใด
ผมรู้ เพราะได้อ่านวรรณคดีเรื่องไตรภูมิพระร่วง
ในหนังสือกล่าวถึงการเกิดของสัตว์ ตายแล้วต้องไปเกิดในแดนใดแดนหนึ่ง คือ
กามภูมิ ๑๑ รูปภูมิ ๑๖ อรูปภูมิ ๔ รวมภูมิทั้งหลายได้ ๓๑ เรียกว่า ไตรภูมิ
สัตว์ที่ไปเกิดในภูมิทั้ง ๓ นี้ เรียกว่าปฏิสนธิ คือ
ตายแล้วไปเกิดต่อเนื่องกันมี ๔ ประเภท ดังนี้
๑. ชลาภุชะ ไปเกิดในมดลูก คือมนุษยืและสัตว์ดิรัจฉานที่คลอดออกมาเป็นตัว
และเลี้ยงลูกด้วยนม เช่น คน ช้าง ม้า วัว ควาย แมว หมา ฯลฯ
๒. อัณฑชะ ไปเกิดในลักษณะเป็นไข่ก่อน แล้วจึงฟักออกมาเป็นตัว
เช่น นก ไก่ งู เป็ด ปลา ฯลฯ
๓. สังเสทชะ ไปเกิดโดยไม่อาศัยพ่อแม่ แต่อาศัยใบไม้เน่า หญ้าเน่า เหงื่อไคล
ของโสโครก หรือที่ชุ่มชื้น เช่น เชื้อโรค สัตว์เซลเดียว มีอมีบา พลามีเซียม
หนอน ยุง ริ้น เรือด ไร แมลง ฯลฯ
๔. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้นเป็นตัวเป็นตนเติบโตขึ้นทันที โดยไม่อาศัยพ่อแม่
อาศัยอดีตกรรมอย่างดียว เช่น พวกสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม
เมื่อตายไป ผลการกระทำของตนในวันนี้ หรือวันก่อน หรือชาติก่อน จะส่งผล
ให้ไปเกิดในแดนเกิดดังที่กล่าวมา
ผมจำอดีตไม่ได้ จึงไม่รู้ว่า เคยไปเกิดในแดนใดมาบ้าง รู้แต่ว่าชาตินี้ได้เกิด
ในแดน ชลาพุชะ และก็ยังดีที่มีโอกาสประเสริฐ ได้เกิดมาเป็นคน แทนที่จะ
เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จึงมีสิทธิจะเลือกแดนเกิดในชาติต่อไป
เพราะแม้เราไม่อยากเกิด ก็ต้องเกิดอีก เนื่องจากเรายังมีกิเลสอันเป็นเสมือน
ยางเหนียวในพืชอยู่
ส่วนบางคนตายแล้ว ไม่เกิดอีกก็มี คือ พระอรหันต์ เนื่องจากท่านหมดกิเลส
อันเป็นยางเหนียวในพืชแล้ว
วันนี้ของผม จึงเริ่มรู้สึกไม่สนุกในการเกิดแล้วครับ !
ชนะ เวชกุล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น